บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม, 2019

Leonid Rogozov นายแพทย์ผู้ผ่าตัดตนเอง

รูปภาพ
Leonid Rogozov นายแพทย์ผู้ผ่าตัดตนเอง นี่คือภาพของนายแพทย์ Leonid Rogozov แพทย์ที่ทำการผ่าตัดตนเองในปีค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) แต่เรื่องราวของเขาเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ Leonid Rogozov เป็นแพทย์ชาวโซเวียตที่เดินทางไปกับโครงการสำรวจแอนตาร์กติกของโซเวียตในช่วงปีค.ศ.1960-1961 (พ.ศ.2503-2504) โดยเขาเป็นแพทย์ประจำสถานี Novolazarevskaya เพียงรายเดียว ขณะที่ประจำอยู่ที่แอนตาร์กติก ในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) Rogozov เกิดมีอาการป่วย มีไข้ ปวดท้อง วันต่อมา วันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) Rogozov มีอาการแย่ลง และเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ปัญหาคือเขาเป็นแพทย์เพียงคนเดียวที่ประจำอยู่สถานีนี้ สถานีอื่นที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ก็อยู่ห่างออกไป 1,600 กิโลเมตร รวมทั้งหากจะขอความช่วยเหลือทางเฮลิคอปเตอร์ สภาพอากาศในเวลานั้นก็ไม่เหมาะที่เฮลิคอปเตอร์จะมาได้ เมื่อไม่มีทางเลือก เวลาตีสองของวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) Rogozov ได้ตัดสินใจผ่าตัดตนเองโดยการใช้การมองผ่านกระจกเหนือลำตัว (หากใครเคยอ่านการ์ตูนเรื่อง Blackjack น่าจะนึก

“อิวาน ชิโดเรนโก้ (Ivan Sidorenko)” เพชฌฆาตมือหนึ่งแห่งกองทัพโซเวียต

รูปภาพ
“อิวาน ชิโดเรนโก้ (Ivan Sidorenko)” เพชฌฆาตมือหนึ่งแห่งกองทัพโซเวียต “อิวาน ชิโดเรนโก้ (Ivan Sidorenko)” เป็นสไนเปอร์มือหนึ่งของกองทัพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่องราวของเขาเป็นอย่างไรและทำไมเขาถึงได้รับการยกย่องให้เป็นมือหนึ่งของโซเวียต ผมจะเล่าให้ฟังครับ ชิโดเรนโก้เกิดในครอบครัวชาวนาที่ประเทศรัสเซียเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ.1919 (พ.ศ.2462) และเมื่อโตขึ้น เขาก็ได้เข้าเรียนในวิทยาลัยศิลปะที่ตั้งอยู่ในกรุงมอสโก ต่อมาในปีค.ศ.1939 (พ.ศ.2482) ชิโดเรนโก้ได้ลาออกจากวิทยาลัยศิลปะและเปลี่ยนไปเข้าร่วมกับกองทัพ เมื่อเข้าร่วมกับกองทัพ เขาได้ใช้เวลาว่างด้วยการไล่สังหารทหารนาซี โดยเขาจะซุ่มยิงระยะไกลและก็ยิงถูกทุกนัด เป็นที่ถูกใจผู้บังคับบัญชา มอบหมายให้เขาเป็นผู้ฝึกทหารคนอื่นๆ ชิโดเรนโก้ฝึกสอนทหารได้ดีมาก และในขณะเดียวกันก็ออกไล่ฆ่าทหารนาซีไปด้วย ชื่อเสียงของเขาดังไกลไปถึงทัพนาซี จนทัพนาซีต้องจัดสไนเปอร์ของตนไว้รอบๆ ค่ายของชิโดเรนโก้ ชิโดเรนโก้ได้พาทหารที่เขาฝึกออกรบหลายครั้ง โดนในครั้งหนึ่งเขาสามารถทำลายรถถังและรถแทร็กเตอร์ของฝ่ายตรงข้ามได้สามคันโดยการใช้กระสุนหั

เปิดหาดฟูกูชิมะ

รูปภาพ
ชายหาดที่ฟูกูชิม่าเปิดให้บริการอีกครั้ง หลังภัยพิบัตินิวเคลียร์ในปี 2554 เป็นเรื่องน่ายินดีว่า ได้เห็นภาพแห่งความสุขกลับมา ลบภาพหายนะภัยจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะในปี 2554 เสียสนิท  เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านไปนี่เอง ภาพแห่งความสุขของผู้คนที่ ฟุกุชิม่า เมื่อย้อนกลับไป 9 ปีก่อน ฝันร้ายได้มาเยือนชาวฟุกุชิม่า จากเหตุโรงไฟฟ้าของสถานีพลังงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ประสบอุบัติเหตุเกิดการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจำนวนมหาศาล พื้นที่บริเวณใกล้เคียงถูกประกาศเป็นเขตภัยพิบัติร้ายแรง มีการอพยพชาวบ้านเกือบทั้งหมดออกจากบริเวณ ทุกอย่างในบริเวณนั้นมีผลการตรวจสอบว่ามีการปนเปื้อนในระดับต่างๆกันตั้งแต่มากจนถึงน้อย รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทำการตรวจสอบก่อนจะแน่ใจหลายครั้ง เพื่อดำเนินการตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อย้ายชาวฟุกุชิมะกลับไปบริเวณเดิม ซึ่งมีการกล่าวกันว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่ญี่ปุ่นกำลังจะจัดมหกรรมกีฬาครั้งยิ่งใหญ่ระดับโลก นั่นคือกีฬาโอลิมปิกที่จะจัดกันในปีหน้านี้ที่โตเกียว ซึ่งงานนี้เจ้าภาพเตรียมความพร้อมระดับสูงสุด และทำทุกอย่างควบคู่ไป เพื่อให้ภาพประเทศญี

ใบไม้ที่ปลิดปลิว

รูปภาพ
ใบไม้ที่ปลิดปลิว ละครสะท้อนชีวิต เป็นที่น่าจับตามองตั้งแต่มีข่าวว่า จะเปิดกล้องละครเรื่อง “ใบไม้ที่ปลิดปลิว” ทางช่อง one 31 แล้วว่านักแสดงคนไหนที่จะมารับบท “นีรา” นีรา ชายที่มีใจเป็นหญิงที่ผ่าตัดแปลงเพศ เรียบร้อยแล้ว เดินทางมาเมืองไทยเพื่อทวงถามความยุติธรรมจากคนเป็นพ่อ หลายคนถึงกับทึ่ง เมื่อทราบว่านักแสดงที่จะมารับบท “นีรา” นั้น       คือ “ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก” “ใบเฟิร์น” เป็นนักแสดงที่มีความสามารถทางการแสดงอย่างเยี่ยมยอด ไม่ว่าจะเป็นบท “ก้านแก้ว” จาก “หลงไฟ” หรือภาพยนตร์เรื่อง     “Friend Zone สิ้นสุดทางเพื่อน” ตลอดจนงานละครเรื่องต่างๆ นับว่าเป็นความท้าทายสำหรับนักแสดงที่จะแสดงบท “พลัดเพศ” ให้สมจริง และคนดูเชื่อว่านักแสดงคนนี้เล่นเป็น “ผู้ชายพลัดเพศ” จริงๆ แน่นอนว่า “ใบเฟิร์น” ต้องทำเวิร์คช็อปอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกับนักแสดงรุ่นใหญ่ “แซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี” ที่รับบท “ชมธวัช” ผู้เป็น   พ่อที่มีความเกลียดชังลูกชายเพราะผิดเพศ เพียงแค่ละครเรื่องนี้ออนแอร์ตอนแรกๆ ก็ได้รับการขื่นชม และเสียงตอบรับที่ดี ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก สามารถทำให้เราและคนดูสัมผัสได้ถึ

‘The Lion King’

รูปภาพ
‘The Lion King’ ผลงานขึ้นหิ้งของดิสนีย์ หากจะถามหาว่าผลงานแอนิเมชั่นเรื่องไหนของดิสนีย์ที่เป็นผลงานขึ้นหิ้งสุดคลาสสิค เชื่อว่า “The Lion King” คงเป็นหนึ่งในผลงานนั้น ด้วยความประทับใจที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนานทำให้เรื่องราวของสิงโต “ซิมบ้า” ผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นราชาอย่างแท้จริงกลายเป็นเรื่องราวสุดแสนประทับใจ ล่าสุดผลงานขึ้นหิ้งอย่าง “The Lion King” ในแบบฉบับที่แตกต่างไปจากเดิมจนกลายเป็นผลงานแอนิเมชั่นแห่งปีที่ทั่วโลกรอคอยในรูปแบบแอนิเมชั่นเสมือนจริง นอกจากจะเป็นการนำเสนอเรื่องราวของ “ซิมบ้า” กับการใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนาในแอฟริกา ผ่านอุปสรรคนานานับประการจนก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าป่า ซึ่งเป็นเรื่องราวที่หลายคนเคยสัมผัสกันมาก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความแปลกตาแปลกใหม่และเป็นครั้งแรกของ “The Lion King” ก็คือรูปแบบการนำเสนอแอนิเมชั่นเสมือนจริง แตกต่างไปจากเวอร์ชั่นก่อนที่จะเป็นแอนิเมชั่นฉบับการ์ตูน ทำให้ “The Lion King” มีภาพที่สวยและดูสมจริงราวกับว่ากำลังชมสารคดีสัตว์ป่าเรื่องหนึ่ง แต่เนื้อเรื่องมีการเชื่อมโยงผ่านความคลาดสิคมราเราเคยสัมผัสกันมาก่อนหน้านี้ ทำให้ “The Lio

กินคีโตนยังไงดี

รูปภาพ
การกินคีโตน การรับประทานอาหารแบบคีโตนกลายมาเป็นอีกเทรนด์ทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับสายลดน้ำหนัก ซึ่งวิธีนี้คือการจำกัดอาหารจำพวกคาโบร์ไฮเดรต คือ ข้าว แป้ง น้ำตาล และเพิ่มการรับประทานไขมัน เพื่อให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้แทน แต่การใช้วิธีนี้ก็มีข้อห้ามในผู้ที่มีการเผาผลาญไขมันผิดปกติ ผู้ที่ขาดคาร์นิทีนแต่กำเนิด และการปรับด้วยวิธีนี้ก็ควรจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รวมถึงควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ หลักการลดน้ำหนักด้วยคีโตน 1. จำกัดพลังงานรวมต่อวัน เพื่อให้ร่างกายดึงพลังงานสะสมมาใช้แทน 2. สูญเสียน้ำจากร่างกาย เมื่อกินแบบคีโตน ร่างกายจะเกิดกระบวนการคล้ายกับการอดอาหาร น้ำตาลในเลือดต่ำลง การหลั่งอินซูลินก็ลดลง จากนั้นจะมีการหลั่งกลูคากอนออกมาเพื่อสลายไกลโคเจนที่สะสมในตับออกมาเป็นพลังงาน และเกิดการสลายไขมันตามมา ซึ่งการสลายไกลโคเจนนั้นจะทำให้เกิดการสูญเสียน้ำออกมาด้วยจึงทำให้น้ำหนักลดลงจากการเสียน้ำอย่างรวดเร็วในวันแรกๆ 3. เพิ่มการสลายไขมันและลดการสร้างไขมัน เกิดเป็นภาวะคีโตซิสจากการสลายไขมัน เกิดสารจำพวกคีโตนขึ้น เช่น acetoacetate, β-hydroxybutyrate แ

เมื่อรัสเซียขายอลาสก้าให้อเมริกา

รูปภาพ
เมื่อรัสเซียขายอลาสก้าให้อเมริกา นี่เป็นเรื่องราวเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ทุกวันนี้อลาสก้าคือส่วนหนึ่งของอเมริกา แต่ใครจะทราบว่า จริงๆแล้ว อลาสก้าเคยเป็นของรัสเซีย การซื้อขายอลาสก้า เกิดขึ้นในวันที่ 30 มีนาคม 1867 เป็นการตกลงซื้อขายครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของโลก  ระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา กับ ประเทศรัสเซีย  ในราคา 7.2 ล้านเหรียญดอลล่าร์ ซึ่งเมื่อเทียบออกมาแล้ว จะเท่ากับ 2 เซ็นท์ต่อ 1 เอเคอร์ โดยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 600,000 ตารางไมล์ แม้ว่าราคาจะดูเหมือนถูกแสนถูกในวันนั้น แต่ก็มีกระแสไม่พอใจจำนวนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปหลังจากนั้น อลาสก้าจะถูกค้นพบทรัพยากรน้ำมันจำนวนมาก และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้อเมริกามหาศาล รัสเซียขายอลาสก้าทำไม?  เนื่องจาก ในยุคนั้นรัสเซียประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รวมถึงการมีค่าใช้จ่ายในการทำสงครามไครเมียกับ อังกฤษ+ฝรั่งเศส การจะรักษาดินแดนอลาสกาไว้ในขณะที่กำลังรบกับอังกฤษแทบเป็นไปไม่ได้ เหตุผลคืออลาสก้าอยู่ห่างกับศูนย์กลางอำนาจของรัสเซียซึ่งอยู่ในยุโรป ในขณะที่เวลานั้นดินแดนแคนาดาเป็นของอังกฤษ ซึ่งสะ

“Telling the bees”

รูปภาพ
“Telling the bees” ประเพณีการแจ้งข่าวการตายให้ผึ้งรู้ ทางแถบยุโรปนั้น มีประเพณีหนึ่งซึ่งปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานในแถบยุโรป นั่นก็คือการพูดกับผึ้ง ชาวยุโรปมองว่าผึ้งเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญ เนื่องจากมันให้น้ำผึ้งและขี้ผึ้ง ชาวยุโรปในยุคโบราณจึกรักและผูกพันกับผึ้งจนถึงขั้นพูดคุยกับพวกมัน จนเกิดเป็นประเพณี “Telling the bees” ตามความเชื่อของคนยุโรปนั้น เมื่อบ้านไหนมีคนตาย ชาวยุโรปเชื่อว่าสมาชิกในบ้านจะต้องเดินไปแจ้งข่าวการตายให้ผึ้งรู้ หากไม่บอก ก็จะมีเรื่องแย่ๆ ตามมา เช่นผึ้งไม่ให้น้ำผึ้ง หรือผึ้งอาจจะบินหนีไปทำรังที่อื่น โดยชาวยุโรปมักจะนำผ้าสีดำมาคลุมรังผึ้งไว้ก่อนจะแจ้งข่าว ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าประเพณี Telling the bees นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร แต่ในยุคแรกๆ นั้น การไปแจ้งข่าวแก่ผึ้งนั้นไม่ใช่แค่แจ้งเรื่องข่าวการตายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกิดในครอบครัวอีกด้วย เช่น มีสมาชิกในครอบครัวแต่งงาน หรือจะเดินทางไปไหนไกลๆ ผู้ที่ไปแจ้งข่าวแก่ผึ้ง จะทำการเคาะที่รังผึ้งเบาๆ ก่อนจะเล่าเรื่องให้ผึ้งฟัง ในบางพื้นที่ ผู้แจ้งข่าวต้องร้องเป็นเพลงหรือแจ้งข่าวนั้นเป็น

“ซาแมนธา สมิธ (Samantha Smith)” เด็กสาวผู้เป็นตัวแทนของสันติภาพ

รูปภาพ
“ซาแมนธา สมิธ (Samantha Smith)” เด็กสาวผู้เป็นตัวแทนของสันติภาพ ในช่วงเวลาของสงครามเย็นนั้น เป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังเครงเครียด เนื่องด้วยความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต แต่ในช่วงเวลาระหว่างสงครามเย็นนี้เอง ได้มีเด็กสาวคนหนึ่ง ได้ส่งจดหมายไปหาผู้นำสหภาพโซเวียต และข้อความในจดหมายของเธอนี้เอง ทำให้เธอกลายเป็นตำนานและเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ชื่อของเธอคือ “ซาแทนธา สมิธ (Samantha Smith)” ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) เด็กหญิงวัย 10 ขวบจากรัฐเมน สหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งมีความสนใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และได้เคยเขียนจดหมายถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ได้เกิดความสงสัยว่าสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตจะก่อสงครามกันจริงๆ หรือไม่ ซาแมนธาจึงได้เขียนจดหมายไปถาม  “ยูริ อันโดรปอฟ (Yuri Andropov)” จดหมายของซาแมนธานั้น มีใจความสำคัญถามว่าทำไมสหภาพโซเวียตถึงอยากจะครองโลกหรือสหรัฐอเมริกา และจะมีการโหวตให้เกิดสงครามจริงๆ หรือไม่ พร้อมทั้งกล่าวว่าพระเจ้าสร้างโลกมาให้มนุษย์ทุกคนแบ่งปันกัน จดหมายฉบับแรกนั้นยังไม่ได้รับการตอบกลับ แต่ซาแมนธาก็กลายเ