บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม, 2019

“Jack the Ripper”

รูปภาพ
ตัวจริงของ “Jack the Ripper” Jack the Ripper เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ทำการฆาตกรรมหญิงสาวในประเทศอังกฤษหลายรายในช่วงปลายยุค 1800 (พ.ศ.2343-2442) จนถึงปัจจุบัน ตัวจริงของเขาเป็นใครก็ยังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครระบุโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาได้ แต่ด้วยวิทยาการและการศึกษาในปัจจุบัน ทำให้อาจจะกระชากหน้ากากเขาได้แล้ว ได้มีทฤษฎีซึ่งตีพิมพ์ในปีค.ศ.2014 (พ.ศ.2557) ระบุว่าตัวจริงของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้อาจจะเป็นช่างตัดผมชาวโปแลนด์วัย 23 ปีชื่อ “Aaron Kosminski” จากการตรวจสอบเหยื่อนั้น พบว่ามีเลือดรวมถึงน้ำอสุจิบนผ้าพันคอของเหยื่อ และเมื่อนำไปตรวจสอบก็พบว่าตรงกับของ Kosminski แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีข้อโต้แย้งตามมา ไม่ว่าจะเป็นว่าการพบน้ำอสุจิของเขาบนเหยื่อก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นฆาตกร เนื่องจากเหยื่อจำนวนมากก็เป็นหญิงโสเภณี จึงเป็นไปได้ที่เขาอาจจะเป็นเพียงหนึ่งในลูกค้า อีกอย่าง ไม่เคยมีรายงานว่ามีการพบผ้าพันคอบนตัวศพ เป็นแต่เพียงเรื่องเล่าเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน Kosminski เองก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยตั้งแต่แรกๆ และมีพยานบางคนยืนยันว่าเห็นเขาใช้มีดทำร้ายหนึ่งในเหยื่อของ

วิตามินซี

รูปภาพ
วิตามินซี ป้องกันหรือรักษาหวัดได้จริงหรือ วิตามินซี หรือ Ascorbic acid คือวิตามินชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งโดยปกติจะได้รับจากอาหารเป็นหลัก และพบมาในผักผลไม้รสเปรี้ยว วิตามินซีมีข้อถกเถียงในการนำมาใช้ในโรคหวัดมากกว่า 70 ปีแล้ว ซึ่งมีหลายๆการศึกษาที่พยายามไขข้อสงสัยนี้ โดยงานวิจัยแบบ meta-analysis โดย Hemilä H และ Chalker E. ใน Cochrane Database Systemic Review ได้ทำการรวบรวมการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น CENTRAL 2012, Issue 11, MEDLINE, EMBASE, CINAHL, LILACS และ Web of Science โดยคัดเลือกผลการทดลองที่ใช้วิตามินซี 200 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไปเปรียบเทียบแบบ Placebo-controlled trial ผลการทดลองจาก 29 การศึกษา และผู้เข้าร่วมทั้งหมด 11,306 ราย - แบ่งเป็นกลุ่มคนทั่วไปจำนวน 10,708 ราย พบว่าค่า RR 0.97 (95% confidence interval (CI) 0.94 to 1.00) คือการรับประทานวิตามินซีไม่ได้ช่วยเรื่องไข้หวัดอย่างมีนัยสำคัญ - กลุ่มนักกีฬาและทหารในทวีปอาร์คติก 598 ราย พบว่าค่า RR 0.48 (95% CI 0.35 to 0.64) คือการรับประทานวิตามินซีช่วยลดอัตราการเป็นหวัดได้ถึง 52% เมื่อเทียบกับยา

“ยาแก้อักเสบ”

รูปภาพ
“ยาแก้อักเสบ” ยาแก้อักเสบที่จะพูดถึงในบทความนี้ คือยาในกลุ่ม Non-Steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs หรือ เอ็นเสด) ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ COX ที่มีหน้าที่ในการเปลี่ยน Arachidonic acid เป็น Prostaglandin ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบ ดังนั้นเมื่อยับยั้งการสร้างสารนี้จึงทำให้ยานี้มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ ลดอาการปวด และลดไข้ได้ โดยปกติคำที่ทุกคนชอบเรียกติดปากว่า “ยาแก้อักเสบ” จริงๆตามความหมายทางการแพทย์หมายถึงยากลุ่มนี้ (NSAIDs) หรืออาจหมายถึงกลุ่ม Steroids ที่มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบเช่นเดียวกัน แต่ “ไม่ได้หมายถึงยาฆ่าเชื้อ เช่น amoxicillin” กระบวนการอักเสบ คือ กระบวนการที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อมีความผิดปกติของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง เช่น กล้ามเนื้ออักเสบจากการออกกำลังกาย คออักเสบจากการใช้เสียงมากๆ โดยอาการแสดงจะออกมาในรูป ปวด บวม แดง ร้อน ซึ่งบางกรณีเมื่อร่างกายติดเชื้อก็จะเกิดการอักเสบตามมา เช่น ทอนซิลอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แผลอักเสบจากการติดเชื้อที่ผิดหนัง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนสับสนระหว่างยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อ ตัวอย่างของยาแก้อักเสบ เช่น Ibuprofen, N

ศุกร์ 13

รูปภาพ
ศุกร์ 13 กับความเชื่อของชาวตะวันตก ชาวตะวันตกนั้นมีความเชื่อว่าเลข 13 เป็นเลขที่ไม่เป็นมงคล โดยเฉพาะหากเป็นวันศุกร์ที่ 13 มีการเอ่ยถึงศุกร์ที่ 13 ในสื่อหลายๆ แห่ง ทั้งภาพยนตร์ นิยาย การ์ตูน มีแม้กระทั่งสมาคมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 สำหรับความเชื่อที่ว่าเลข 13 เป็นเลขอัปมงคลนั้น ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าความเชื่อนี้เริ่มมานานแค่ไหน แต่ก็ได้มีความเชื่อนี้มาเป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว ในประมวลกฎหมายฮัมมูราบี ซึ่งเป็นหนึ่งในประมวลกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ได้มีการกำหนดตัวบทกฎหมาย 13 ข้อ ทำให้หลายคนโยงไปยังประมวลกฎหมายน สำหรับสาเหตุที่ต้องเป็นวันศุกร์ เนื่องจากในพระคัมภีร์นั้น พระเยซูได้เสวยพระกระยาหารมือสุดท้ายร่วมกับแขกจำนวน 13 คน ซึ่งวันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี และในวันต่อมาซึ่งเป็นวันศุกร์ พระเยซูก็ถูกตรึงกางเขน ด้วยเหตุนี้ยังเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า การเชิญแขกจำนวน 13 คนมารับประทานอาหารเป็นสิ่งที่เป็นลางร้าย แต่ต่อมา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีชาวนิวยอร์กชื่อ “William Fowler” ต้องการที่จะเปลี่ยนความเชื่อนี้ เขาจึงได้จัดตั้งสมาคมขึ้นชื่อว่า “The Thirteen Club” สมาค

หากคุณสัมผัสอากาศของอวกาศจะเป็นอย่างไร???

รูปภาพ
หากคุณสัมผัสอากาศของอวกาศจะเป็นอย่างไร??? การที่จะส่งนักบินอวกาศขึ้นไปทำภาระกิจ เก็บข้อมูลเพื่อศึกษาว่ายากเเล้ว การที่นักบินอวกาศจะเอาตัวรอดจากการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับตัวนักบินเองในอวกาศนั้นคือสิ่งที่ยากกว่า เคยส่งใสไหมว่าถ้าเราสัมผัสกับอากาศของอวากาศ เเล้วจะเป็นอย่างไร คงจะจิตนาการกันไม่ออกเลยใช่ไหมครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนการเอาผิวหนังของเราไปสัมผัสกับศูนย์ยากาศ นอกโลกของเราจะเป็นยังไฝ นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการเอาไว้ว่า หากนักบินอวากาศที่มีชุดอวกาศขาดหรือมีรู จะมีเวลาเพียง 15 วินาทีเท่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะหมดสติ ตัวเเข็งเเละตายจากการบีบอัดเเละขาดอากาศหายใจ หลังสัมผัสกับอากาศในอวากาศ เเค่ 10 วินาทีที่ร่างกายได้สัมผัสกับสูญญากาศของ อวากศ ก็เพียงพอเเล้วที่จะทำให้ผิวหนังเเละเลือดระเหยกลายเป็นไอได้ ก่อนที่ร่างกายจะพองลมออก ทำให้ปอดหยุดทำงาน เเละภายใน 30 วินาที พวกเขาก็จะกลายเป็นอัมพาตทันที ความปลดภัยของนักบินอวกาศจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อช่วยให้พวกเขาปลอดภัยเเละกับมายังโลก เทคโนโลยีอวกาศจึงต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด ข